จากการริเริ่มงานด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในพื้นที่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ด้วยภาพฝันถ้าหากเกิดขึ้นจริง ว่าด้วยการนำฐานรากเหง้า ประเพณี ศิลปะและวิถีชีวิตที่ลึกซึ้งของประเทศไทยมานำเสนอในมุมมองใหม่ จะสามารถสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้ อย่างน้อยเมืองละ 200 ล้านบาท จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายให้เกิดการสร้างความร่วมมือร่วมกับแวดวงวิชาการโดยอาจารย์พนิดา ฐปนางกูร ผู้จัดการโครงการอาวุโส สถาบันคลังสมองแห่งชาติ (ในขณะนั้น) การพัฒนากรอบการวิจัยด้านทุนวัฒนธรรม ภายใต้งาน “ฟื้นใจเมือง”ด้วย “เศรษฐกิจพื้นที่ บนฐานทุนทางวัฒนธรรมชุมชน” โดยใช้ชื่อจากโคลงนิราศนรินทร์ ตามคำแนะนำของ ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ผู้ริเริ่มงานวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ อย่างไรก็ตาม หลังจากการสนับสนุนทุนวิจัยว่าด้วยแนวคิดการสร้างกลไกความร่วมมือในพื้นที่ สู่การสืบค้นแผนที่วัฒนธรรม (Cultural Mapping) และนำมาเสนอเป็นพื้นที่วัฒนธรรม (Cultural Space) เพื่อสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ งานนี้ขับเคลื่อนโดยทุนวิจัยและนวัตกรรมให้กับมหาวิทยาลัยกว่า 10 แห่ง เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 3 ปี พบว่า โดยส่วนใหญ่นักวิชาการจะมุ่งเน้นกับการสืบค้น ตีความเรื่องราวในชุมชน มากกว่าการพัฒนาและต่อยอดให้เกิดรูปธรรมความสำเร็จ โดยเฉพาะการสร้างรายได้จากฐานทุนวัฒนธรรม
จนกระทั่งปี 2560 ผมได้พบกับ ดร.ธนภณ วัฒนกุล ผู้ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม และมีความเชี่ยวชาญรวมถึงอุทิศชีวิตให้แก่วัฒนธรรมของประเทศ จึงได้ทาบทามท่านในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ามาร่วมหารือแลกเปลี่ยน ตามหลักคิดและอุดมการณ์ของท่าน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนและพัฒนากรอบการวิจัยใหม่ สู่การสร้างงานวิจัยเพื่อการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ ได้แก่ 1) พื้นที่ทางวัฒนธรรม วิถีไทลื้อ จังหวัดพะเยา 2) พื้นที่ทางวัฒนธรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนไทยอง จังหวัดเชียงใหม่ 3) พื้นที่ทางวัฒนธรรม ผ้าทอมือย้อมครามและสีธรรมชาติ จังหวัดสกลนคร 4) พื้นที่ทางวัฒนธรรม ดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน จังหวัดกาญจนบุรี 5) พื้นที่ทางวัฒนธรรม ชุมชนทางการค้าผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรม จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 6) พื้นที่ทางวัฒนธรรม กลุ่มเศรษฐกิจวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ / เส้นทางหน้าพระลานมหาราช พระจันทร์ พระอาทิตย์ กรุงเทพฯ
โดยงานนี้ใช้หลักคิดการทำงานการวิจัยเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่ริเริมมาตั้งแต่ สกว. เดิม จนถึง บพท. ในปัจจุบัน โดยหน่วย บพท. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่เสริมพลังอำนาจให้คนทำงาน (Empowerment Unit) เริ่มจากการถกเถียง หารือและแลกเปลี่ยนแนวคิด จนเกิดเป็นโจทย์วิจัยและกรอบแนวคิดวิจัย (Research Framework) เกิดการตีความใหม่และลงไปแลกเปลี่ยนในพื้นที่ รวมถึงการชวนเครือข่ายในพื้นที่เข้ามาทำงานร่วมกัน จนเกิดเป็น“หลาดชุมทางทุ่งสง” ตลาดที่เกิดจากทุนวัฒนธรรมในพื้นที่ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2561 ซึ่งนั้นเองที่เป็นความประทับใจแรกในการสัมผัสการร่วมผลักดันพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น
“หลาดชุมทางทุ่งสง” เลยจุดที่จินตนาการไว้ไปมาก และ ณ ปัจจุบัน “หลาดชุมทางทุ่งสง” ได้เปิดตลาดเป็นครั้งที่ 216 แล้ว โดยในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธานในพิธีเปิด และได้ปรารภว่า การขับเคลื่อนพื้นที่วัฒนธรรมด้วยประชาคมวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชีวิตการทำงานของท่าน และได้กล่าวตอนเปิดงานไว้ว่า
“…กลไกความร่วมมือของท้องถิ่นและประชาคม ที่มาจากการปลุกกระแสทุ่งสง สู่การผลักดัน “ฟื้นใจเมือง” ภายใต้ทิศทาง“คุณค่าสู่มูลค่าเพิ่ม” ด้วยการส่งเสริมให้คนทุ่งสงเข้าใจตัวเอง เห็นความสำคัญและที่มาที่ไปของรากเหง้า การ“ฟื้นใจเมือง”ทำให้คนนครศรีธรรมราชได้ภูมิใจในอดีต ศรัทธาในปัจจุบัน และเชื่อมั่นต่อไปยังอนาคต ด้วยอำเภอทุ่งสง มีอารยธรรม มีลักษณะพิเศษโดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่ง “ตลาดฟื้นใจเมือง” เป็นตลาดวัฒนธรรม ที่จะสามารถเปลี่ยน mindset ของชาวทุ่งสงให้พึ่งพาตัวเองและเชื่อมั่นในตนเองได้…”
ทั้งนี้ “หลาดชุมทางทุ่งสง” ไม่ใช่แค่ตลาดนัด หรือกลไกการสร้างเศรษฐกิจฐานราก แต่เป็น “พื้นที่กลางของเมือง” ที่จะเป็นพื้นที่แห่งการสร้างความร่วมมือ ในการนำเรี่องราวทั้งหมดของเมือง ภูมิภาค การแลกเปลี่ยน การสร้างเป้าหมายร่วมกัน เป็นกติการ่วม ผ่านกระบวนการหารือ สู่กระบวนการสร้างความร่วมมือ ที่เรียกว่า “ประชาคมวัฒนธรรมทุ่งสง” ด้วยเครื่องมือการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมความสำเร็จในพื้นที่ กล่าวคือ ความสัมพันธ์การบริหารจัดการพื้นที่และท้องถิ่น ที่เป็นความสัมพันธ์ที่บูรณาการดุลอำนาจอย่างเท่าเทียมระหว่างหน่วยงานท้องถิ่น โดยคุณทรงชัย วงษ์วัชรดำรง นายกเทศมนตรีเมืองทุ่งสง คุณเตือนจิต จงคง รองปลัดเทศบาลเมืองทุ่งสง คุณมรินทร์ ตันติชำนาญกุล (โกยี) ประธานประชาคมวัฒนธรรมเมืองทุ่งสง คุณวรวิทย์ โกสุวรรณ ประธานชุมชนย่านการค้า และคุณปิยะนาถ กลิ่นภักดี นักวิจัยในพื้นที่ เป็นกำลังสำคัญ
สิ่งที่สำคัญที่สุด “หลาดชุมทางทุ่งสง” เป็นของคนทุ่งสงอย่างแท้จริง